[Review] Ferdinand - มออออออ



หนังส่งท้ายปีของ Blue Sky Studio ที่ไม่รู้ค่ายหนังคิดยังไงถึงเอามันมาชนกับ Star Wars (ก็เตรียมเจ๊งได้เลย) แต่ตัวหนังจะสนุกไม่สนุกนั้นเราต้องมาดูกันอีกทีนึง

Ferdinand ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ The Story of Ferdinand แต่เนื่องจากผมไม่เคยอ่านนิยายดังนั้นไม่เอามาเทียบละกัน เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของลูกกระทิงชื่อ Ferdinand ในคอกเลี้ยงกระทิง Casa del Toro ซึ่ง Ferdinand เป็นกระทิงที่ชอบดมดอกไม้ ไม่ชอบต่อสู้เหมือนกระทิงตัวอื่นๆ วันหนึ่งพ่อของ Ferdinand ถูกเลือกให้เป็นกระทิงไปแข่งกับมาทาดอร์แต่ไม่กลับมา ด้วยความรู้สึกอยากเจอพ่อทำให้ Ferdinand หนีออกมา แต่คนจากไร่ดอกไม้และลูกสาวชื่อ Nina เจอเข้าจึงรับ Ferdinand มาเลี้ยงและทำให้ Ferdinand พอใจกับชีวิตในไร่ดอกไม้มาก สองปีผ่านไป Ferdinand โตขึ้นกลายเป็นกระทิงตัวใหญ่แรงเยอะ วันหนึ่งพ่อ Nina ไม่อยากให้ Ferdinand ไปงานเทศกาลดอกไม้เพราะตัวใหญ่เกินไป แต่ Ferdinand ก็แอบไปจนทำให้เกิดเรื่องยุ่งและทำให้เขาโดนจับกลับไปยัง Casa del Toro เมื่อไปถึง Ferdinand ได้พบกับเพื่อนเก่าและกระทิงใหม่และได้รู้ว่า El Primero มาทาดอร์ชื่อก้องกำลังจะเลือกวัวไปสำหรับแข่งในวันสุดท้าย

โอเค ผมขี้เกียจเขียนเรื่องย่อต่อเพราะหนังเป็นแบบนี้จริงๆนั่นคือกว่าหนังจะเข้าประเด็นได้ก็ปาไปเกือบค่อนเรื่อง และไม่ใช่เพราะการเขียนเท่านั้น แต่ในเรื่องไม่มีการแสดงออกเลยว่าตกลงหนังจะมุ่งประเด็นไปทางไหน พอ Ferdinand ถูกจับ ก็แทบไม่มีความพยายามจะหนี (มีครั้งเดียวแล้วเลิก) ฝั่ง Nina ก็ไม่มีการออกตามหา Ferdinand เลย โผล่มาอีกทีก็ท้ายเรื่องโน่น


นอกจากนั้นหนังยังมีจุดตะหงิดๆอยู่หลายจุด เช่นทำไม Lupe ถึงอยากเทรน Ferdinand ให้เป็นแชมป์? Nina รู้ได้ไงว่ากระทิงที่เจอชื่อว่า Ferdinand? (คือถ้ามันมีป้ายชื่อหรือมีใบประกาศว่ามีวัวหายมันก็ยังพอฟังขึ้น) แล้ว Ferdinand รู้ได้ไงว่าไร่ดอกไม้อยู่ที่ไหน? (คือถ้ามันมีโฆษณาว่าไร่อยู่ที่นี่อะไรงี้มันก็ยังพอฟังขึ้น) รวมไปถึงตัวร้ายของเรื่องที่ไม่ได้เซ็ตติ้งมาให้ดูชั่วร้ายหรือน่าสนใจ ประเด็นของเรื่องใช้ Plot Device ที่โคตรตลก คือเหมือนเขียนให้มีประเด็นไม่ได้เลยยัดของให้ปรากฏขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลเพื่อจะได้มีพล็อตอะไรแบบนั้นเลย

นอกจากนั้นพล็อตเรื่องก็ไม่ได้อะไรแปลกใหม่ เป็นหนังเกี่ยวกับตัวเอกกับนิสัยตรงกันข้ามกับสายพันธุ์ตัวเองเรื่องที่ล้านแปดแล้ว มี cliche เต็มไปหมด ตัวละครก็ตามสูตรสำเร็จพอสมควร แต่พูดตรงๆนะพล็อตเรื่องผมไม่นับเป็นข้อเสียเพราะว่ามันตามนิยายน่ะ

สิ่งที่หนังสื่อก็ไม่ค่อยชัดเจน หนังต้องการสื่ออะไร? ต้องยึดมั่นสิ่งที่ตัวเองชอบ? ต้องเป็นตัวของตัวเอง? ต้องไม่ย่อท้อ? หนังไม่ได้มีฉากหรือเหตุการณ์ที่ขยี้ประเด็นเหล่านี้เลย พูดง่ายๆคือเหมือนตัวละครแค่ "พูด" อย่างเดียวแล้วหนังก็เออออไปตามนั้นเลย


โอเค โอเค ผมติมาเยอะ แต่นี่คือหนังสุดห่วยที่ควรค่าแต่การโยนตั๋วทิ้งมั้ย? ไม่ใช่เลย จริงๆเรียกได้ว่าเรื่องนี้สนุกพอสมควรเลย

แน่นอนว่าถ้านับในแง่พล็อตเรื่องอะไรพวกนี้อย่างเดียว Ferdinand ไม่ใช่หนังที่ดีเท่าไหร่หนัง แต่ทว่าหนังยังพอให้ความบันเทิงอยู่บ้าง งานภาพถือว่าออกแนวการ์ตูนที่ทำได้ค่อนข้างดี ตัวละครดูกระฉับกระเฉงว่องไหว มุขตลกไม่ถูกยัดเยียดมากเกินไป ผมเชื่อว่าถ้าได้ดูคงมีอมยิ้มกับบางฉากบ้าง

และนั่นแหละคือจุดที่ดีของหนังเรื่องนี้ คือเป็นหนังที่เอนเตอร์แทนดี บทพูดตัวละครจัดว่าค่อนข้างดี การเฉลี่ยนบทตัวละครทำได้ดี เพราะตัวละครถึงจะซ้ำซากแต่ก็หลากหลาย และช่วงฉากไล่กันสุดท้ายทำได้สนุก และช่วงท้ายของหนังจัดว่าทำออกมาได้น่าประทับใจดี แต่ทว่าเพราะการขยี้ประเด็นไม่ดีพอ มันก็เลยไม่รู้สึกอิมแพ็คมาก (และตอนจบของหนังก็รู้สึกไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่อยู่ดี) นอกจากนั้นงานพากย์จัดว่าค่อนข้างดีเลยล่ะ John Cena พากย์เสียงได้ดีมาก (ดีกว่า The Rock ตอนพากย์เรื่อง Moana อีก)


สรุปแล้วยังไง คืองี้ Ferdinand ไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น ไม่ได้มีจุดเด่นที่ต้องเอ่ยปากชม เหมือน Peanuts Movie แต่หนังสุกมั้ย ก็สนุกในระดับนึง มีโมเมนท์ให้อมยิ้งอยู่บ้าง ผมถือว่าก็ไม่เลวเท่าไหร่นะ



สรุป

+ การดำเนินเรื่องสนุกดี
+ งานภาพทำดีและกระฉับกระเฉง
+ ตัวละครหลากหลายและสนุกดี

- เนื้อหาไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- ช่วงท้ายทำดี แต่มันอิมแพ็คไม่พอ
- หนังขาดเหตุผลไปบ้าง

คะแนน: 7.5/10

No comments:

Post a Comment