[Review] My Life As A Courgette (Zucchini) / The Red Turtle - สองผู้เข้ารอบชิงออสการ์



วันนี้มารีวิวหนังอินดี้ที่ได้ชิงออสการ์กันดีกว่า เนื่องจากทั้งสองเรื่องไม่ได้มีรายละเอียดซับซ้อนให้พูดถึงนัก ดังนั้นผมจึงขอรวบสองเรื่องลงในรีวิวเดียวละกัน จะได้ประหยัดที่



เรื่องแรก My Life As A Courgette หรือ My Life As A Zucchini เป็นหนัง Stop Motion ของฝรั่งเศส เนื้อเรื่องคือ Icare (อิคาร์) หรือที่แม่มักเรียกว่า Courgette (คูร์เจร์) วันหนึ่งเขาเผลอฆ่าแม่ตาย เลยถูกส่งตัวไปบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งเขาได้พบกับเด็กคนอื่นๆที่นั่น และได้พบกับเด็กใหม่ที่ชื่อ Camille

เรื่องนี้พล็อตไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร เป็นหนังสไตล์ comfy ดูสบายๆเกี่ยวกับเด็กในบ้านเด็กกำพร้า ที่มีความอยากรู้อยากเห็น ความไร้เดียงสา ผ่านเรื่องราวของ Courgette กับเพื่อนๆ หนังเน้นเนื้อหาตลกเป็นหลัก แต่ก็ยังมีช่วงเครียดอยู่บ้าง โดยเฉพาะเหตุผลที่เด็กๆต้องมาอยู่บ้านเด็กกำพร้าเพราะพ่อแม่มีปัญหา ทั้งติดยา เป็นโจร หรือทำอนาจารลูกตัวเอง

งานภาพเป็น Stop Motion แต่ตัวละครก็ไม่ได้สมจริงอะไรเท่าไหร่ แต่ดูสบายตาดี โดยเฉพาะฉากหิมะที่ทำได้ดี (ดีกว่า Kubo)


จุดเสียมีอยู่สองจุด หนึ่งคือหนังเน้นที่ตัวเอกสองคน Courgette กับ Camille มากเกินไป จนคนอื่นแทบไม่มีเนื้อเรื่อง (อย่าง Alice ที่ชอบเคาะจาน ก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไร) อีกข้อคือหนังไม่ได้ลงรายละเอียดไว้เนิ่นๆ คือเหมือนรายละเอียดอยากจะมาก็มา อย่างลูกของตำรวจ Raymond เงี้ย แต่แน่นอนว่าตรงนี้อาจจะมองได้ว่าหนังต้องการนำเสนอผ่านมุมมองของตัวเอกอย่าง Courgette และ Camille เท่านั้น ก็ว่ากันไป

สรุปแล้ว My Life As A Courgette เป็นหนังที่สนุก ดูเพลินดีๆ แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งเท่าเรื่องอื่นๆที่ชิงออสการ์ แต่ผมว่าคนสร้างก็เก่งนะที่ได้เข้ารอบมาถึงนี่ได้

ปล. แตง Zucchini ภาษาฝรั่งเศสมันคือ Courgette ดังนั้นชื่อหนังก็ขึ้นอยู่กับว่าดูเวอร์ชั่นไหน

คะแนน: 8/10

====================================


เรื่องที่สอง The Red Turtle เรื่องนี้เป็นของฝรั่งเศสแต่สร้างโดยชาวดัตช์ และได้ค่ายการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง Studio Ghibli มาดูแลงานภาพให้ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของชายที่มาติดเกาะร้าง และได้พบกับเต่าสีแดง

เรื่องนี้เป็นหนังกึ่งใบ้ (ที่ว่ากึ่งคือมันยังมีเสียงเอฟเฟคท์บ้าง ไม่ได้ใบ้ทั้งเรื่อง) และเป็นหนังที่ค่อนข้างดูยากนิดๆอยู่เหมือนกัน ที่ว่านิดๆเพราะว่าหนังมีพล็อตเรื่องอยู่ ซึ่งเราสามารถดูตามพล็อตเรื่องไปได้แม้จะมีจุดติดขัดและพวก plot hole อะไรพวกนี้และบางจุดที่ไม่เคลียร์ (โดยเฉพาะตกลงพระเอกมัน...นั่นน่ะรึเปล่า?) แต่เรื่องนี้จะให้ดีที่สุดคือต้องดูควบคู่ไปกับการตีความเชิงสัญลักษณ์ที่หนังถ่ายทอดมาอย่างดี

ซึ่งอันนี้ต้องยกความดีให้ Studio Ghibli เขาล่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือก Ghibli ผมว่ามีสองเหตุผล หนึ่งคือฝีมือของค่ายนี้ และสองที่ผมว่าไม่น่าจะใช่แต่ก็เป็นไปได้คือเพื่อดึงความสนใจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้คนสนใจเยอะมากเพราะว่ามีชื่อ Studio Ghibli แปะอยู่ (ขนาดคนไทยบางคนยังเข้าใจผิดเลยว่านี่คืองานของ Ghibli ทั้งเรื่อง)


ซึ่งอันนี้ต้องชมงานภาพที่ดี ฉากทะเล ฉากเกาะ ฉากป่า ฉากเมฆ ฉากน้ำ ทำออกมาดีมาก แต่ไม่ที่สุดเพราะไม่ค่อยรู้สึกว้าวในตัวงานเท่าไหร่ อันนี้ผมไม่เทียบกับการ์ตูน 3D นะ แต่ลองไปดู 2D ของฝรั่งเศสสิ  อย่าง The Illusionist หรือ Ernest & Celestine ที่มีจุดเด่นที่เด่นชัดและให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ขณะเดียวกันรายละเอียดของภาพเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป โดยเฉพาะ ทราย ทั้งๆที่หนังมีเนื้อเรื่องเกิดที่ชายหาดเป็นส่วนใหญ่ แต่ทรายกลับไม่มีรายละเอียดจริงๆ ไม่สิ ต้องพูดว่า รายละเอียดมันจะมีเมื่อคนสร้างคิดว่าควรจะมี จนถึงช่วงสำคัญของเรื่องนี่แหละที่รายละเอียดมันถึงโผล่มา นี่รวมถึงพวกฉากป่าอะไรพวกนี้ด้วย

โดยรวมแล้ว The Red Turtle เป็นหนังดี เรื่องงานภาพมีพลาดนิดหน่อยแค่นั้นเอง แต่หนังโดยรวมดี และเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังแล้วต้องตีความน่ะ อ่อ อีกอย่าง เพลงดีมากๆด้วย

คะแนน: 9/10

No comments:

Post a Comment