งาน Stop motion หรือภาพยนตร์ที่ให้ฟิกเกอร์ทำท่าทางต่างๆแล้วกดถ่ายทีละเฟรมแล้วค่อยเอามารวมเป็นหนัง เป็นอะไรที่คนชื่นชมมาตลอดทุกยุคทุกสมัย เพราะทำยากและเสียเวลานานมาก แต่มันเป็นรูปแบบที่มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง จึงไม่แปลกที่ค่ายภาพยนตร์อย่าง Laika ใช้มันจุดขายของบริษัทตัวเอง
Laika เองนั้นใช้ Stop motion เป็นจุดขายของตัวเองมาตลอดตั้งแต่ผลงานแรกอย่าง Coraline ตามมาด้วย Paranorman และ The Boxtrolls ซึ่งผมยอมรับตรงๆว่าผมดูแต่ Coraline เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องนี้ออกหลอนๆหน่อยๆ แต่เท่าที่รู้มาคือดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่นัก เพราะไม่นานก็มีข่าวเรื่องการขายตัวฟิกเกอร์ที่ใช้ในการถ่ายทำคงเพื่อหาทุนเพื่อทำหนังเรื่องใหม่นั่นเอง
และเท่าที่ผมรู้มาคือ ทั้งสามเรื่องก่อนหน้านั้น เป็นแนวตลก (โดยพื้นฐานน่ะ เพราะอย่าง Coraline น่าจะออกแนว Horror มากกว่า) ดังนั้นแล้วผลงานล่าสุดอย่าง Kubo and the Two Strings ซึ่งเป็นแนวกึ่งแอ็คชั่น และใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นธีมหลักเรื่อง จึงน่าสนใจมากๆ อย่างที่ผมเคยทำบทความไว้
เนื้อเรื่องของ Kubo เริ่มจากแม่ Kubo ผู้มีพิณวิเศษ ล่องเรือในทะเลจากนั้นก็หัวกระแทกกับหินใต้น้ำ หลายปีผ่านไป Kubo คอยดูแลแม่ที่หลงๆลืมๆด้วยการใช้พิณวิเศษเล่านิทานพับกระดาษเป็นเรื่องราวต่างๆโดยเฉพาะเรื่องของ Hanzo พ่อของตัวเองที่ตายไปแล้ว ที่เป็นนักรบรวบรวมของวิเศษเพื่อปราบ Moon King โดย Kubo มักได้รับกำชับเสมอว่าให้กลับมาหลังดวงอาทิตย์ตกดิน
วันหนึ่ง Kubo อยากคุยกับ Hanzo จึงพยายามคุยโดยใช้โคมกระดาษ แต่นั่นทำให้ Kubo อยู่หลังดวงอาทิตย์ตกดินและทำให้ ลูกสาวของ Moon King หรือน้าของ Kubo มาออกตามล่าตัว Kubo แต่แม่ของ Kubo มาช่วยไว้ และสั่งให้ Kubo ออกตามหาของวิเศษในนิทานเพื่อปกป้องตัวเอง Kubo กับ ลิง ที่เคยเป็นเครื่องรางข้างกาย Kubo ถูกเสกให้มีชีวิตโดยแม่ และ ด้วง มนุษย์ที่โดนสาบเป็นปีศาจด้วงและไม่มีความทรงจำ จึงต้องออกเดินทางโดยมีเป้าหมายตามหาของวิเศษให้ครบให้ได้
แน่นอนว่าถ้าพูดถึง Stop motion แล้ว ก็ต้องพูดถึงงานภาพ และผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเรื่องนี้จัดเต็มอย่างที่สุด ทั้งฉาก ทั้งตัวละคร มีความละเอียดละเมียดละไมมากจนน่าทึ่ง ถึงแม้ว่าเวลาซูมใกล้ๆจะไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ (หรืออย่างหิมะที่ยังกะเกลือ) แต่เวลามองไกลๆแล้วน่าประทับใจมาก ยิ่งผสมกับฉากบู๊ โอริกามิ หรือแม้แต่ภาพ surreal ทั้งหลายแล้ว น่าประทับใจอย่างที่สุด
แต่ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องนั้นกลับยังไม่ใช่จุดแข็งเท่าไหร่นัก เพราะพล็อตหลักอย่างการตามหาของวิเศษ แล้วไปเจอของแปลกๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เนื้อเรื่องนั้นตรงแหน่วเป็นไม้บรรทัด จาก A ไป B ไป C จบ เป๊ะๆ ถึงแม้จะมี plot twist อยู่บ้าง แต่ผมว่าหลายคนน่าจะพอเดาได้แล้ว แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ทดแทนด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างอึมครึม ไม่ได้สว่างสดใส และมีบทเรียนที่ค่อนข้างหนัก (ถึงแม้บทเรียนจู่ๆมันจะโผล่มาก็ตาม) ก็ถือว่าเป็นการทดแทนอะไรเก่าๆจากพวก Disney ได้เหมือนกัน
นอกจากนั้นมันยังมี plot hole อยู่บ้าง อะไรหลายๆอย่างไม่ค่อยอธิบายรวมถึงไปบางจุดมันแบบ "ทำไมไม่ทำตั้งแต่แรกเนี่ย" บางช่วงตัวละครงี่เง่าใส่กันอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งจริงๆมันถ้ามองอีกมุมนึงมันก็ไม่ผิดอะไรเท่าไหร่ เพราะการผจญภัยของ Kubo ถูกทำให้เสมือนเป็น "นิทาน" เหมือนกับที่เขาเล่าเรื่องการผจญภัยของพ่อนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเป็นนิทานมันก็ต้องตรงแหน่ว ไม่มีอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว อันนี้ก็แล้วแต่มองละกัน
บทบู๊ถือเป็นอีกหนึ่งจุดสนุกของเรื่อง บทบู๊นั้นถึงแม้จะแข็งไปบ้างเพราะเทคนิค Stop motion ไม่ได้ทำให้ภาพลื่นไหล แต่บทบู๊สนุก รวดเร็ว และลุ้นดี ตัวคาแรคเตอร์นั่นสนุกและมีสีสัน ที่ผมชอบคือมันไม่จำเป็นต้องมีตัวละครบ้าๆบอๆมาสร้างเสียงหัวเราะแบบบางเรื่อง มุขตลกในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ฝีปากและการกระทำของตัวละคร ถึงแม้มันจะมีโมเมนท์เด็กๆอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว มุขตลกในเรื่องบันเทิงใจพอสมควรแม้แต่กับผู้ใหญ่
น่าเสียดายที่เทคนิคการใช้โอริกามินั้นทั้งๆที่ชูเป็นจุดเด่นของเรื่องมาตลอดแต่กลับไม่ได้ใช้งานจริงๆ จริงอยู่ว่ามีช่วงนึงที่ใช้ได้จริงๆ แต่ก็แค่นั้น จริงๆผมคาดหวังจะได้เห็น Kubo ดีดพิณเรียกโอริกามิมาสู้อะไรแบบนี้นะ พอไม่ได้ใช้แล้วมันดูธรรมดาไปหน่อย
นอกจากนั้นผมรู้สึกว่า Kubo เน้นดีไซน์ไปที่ตัวละคร เลยทำให้ฉากหลังไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่นัก เนื้อหาส่วนใหญ่เกิดในที่โล่ง ทำให้ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเท่าไหร่นัก จริงอยู่ว่าบางฉากออกแบบดี เช่น Garden of Eyes หรือฉากทะเลตอนต้นเรื่อง แต่ก็แค่นั้น ฉากอื่นๆไม่น่าจดจำเท่าไหร่เลย
ส่วนอันนี้ไม่ใช่ข้อเสีย ผมรู้สึกบทแปลไทยมันแปลกๆ เช่นทำไมเรียก คูโบ้ กับ ฮันโซ่ มันควรจะเป็น คูโบะ กับ ฮันโซ หรือ ฟาร์แลนด์ส ทะเลสาบลอง ทำไมทับศัพท์ ทำไมไม่แปลไทยเนี่ย? แต่อย่างที่บอก ไม่ใช่ข้อเสีย
Kubo and the Two Stings เป็นภาพยนตร์ที่สนุก แน่นอนว่าเพราะเทคนิค stop motion และแนวเรื่องใช้ธีมญี่ปุ่นช่วยเสริมความน่าสนใจของตัวหนังให้สูงขึ้น ช่วยกลบปัญหาด้านเนื้อเรื่องได้ดี ผมแนะนำว่านี่เป็นหนังที่สนุกแห่งปีเรื่องนึงเลยล่ะ แม้จะบกพร่องบ้าง แต่ก็คุ้มค่าตั๋วอยู่นะ
สรุป
+ ตัวละครดี
+ เนื้อหาเข้มข้นดี บทบู๊สนุก
- เนื้อเรื่องยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ถ้ามองเป็นนิทานมันก็โอเคนะ
- โอริกามิไม่ได้ใช้จริงๆจังๆเท่าไหร่
- แบ็คกราวนด์เด่นเป็นบางฉาก นอกนั้นเฉยๆ
- โอริกามิไม่ได้ใช้จริงๆจังๆเท่าไหร่
- แบ็คกราวนด์เด่นเป็นบางฉาก นอกนั้นเฉยๆ
คะแนน: 9/10
No comments:
Post a Comment